**ห้าชั่วโมงก่อนตลาดปิดทำการในวันศุกร์ ส่วนต่างกำไรที่ต้องการจะคำนวณผ่านเลเวอเรจสูงสุด 1:200 และเลเวอเรจจะกลับมาปกติในวันจันทร์ตามที่ท่านเลือกไว้ตอนสมัคร
ปริมาณการลงทุนและผลกำไรที่นักลงทุนได้รับนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามความต้องการ
ตัวอย่างการเลือกLeverage1:2000ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่สุดแต่ใช้ทุนน้อยที่สุด

อย่างไรก็ดีการเลือกLeverageเยอะๆเหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีเงินทุนน้อยแต่ต้องการกำไรเยอะแต่การสูญเสียก็จะเยอะด้วยเช่นกันหากเกิดการขาดทุนขึ้น เช่น นักลงทุนมีเงินในบัญชีเพียง100$แต่ต้องการกำไรปิปละ1$ แน่นอนเงินทุนจำนวน100$ไม่สามารถทำกำไรปิปละ1$ได้หากนักลงทุนเลือกLeverage1:100 การจะได้มาซึ่งกำไรปิปละ1$จากเงินทุนในบัญชีแค่100$นั้นสามารถทำได้ด้วยการเลือกLeverageที่สูงมากๆเช่นLeverage1:2000 เพราะการเลือกLeverage1:2000จะทำให้ท่านใช้เงินMarginน้อยลง จากการคำนวณในภาพตัวอย่างข้างบนนี้ การเข้าซื้อจำนวน0.1Lotที่Leverage1:2000จึงจะสามารถได้มาซึ่งกำไรปิปละ1$ เพราะ0.1LotของLeverage1:2000จะใช้เงินในการเข้าซื้อแค่6.47$เท่านั้น ในกรณีนี้นักลงทุนจะเหลือเงินทุนสำรอง93.53$ นักลงทุนจะสามารถติดลบได้-93จุด ก่อนที่กราฟจะวกกลับมาเป็นบวก ซึ่งถ้ากราฟเกิดการผันผวนอย่างรุณแรงไปในแดนลบนักลงทุนจะสูญเสียเงินทุนสำรองทั้งหมดทันที ในกรณีนี้คือเงิน93.53$ที่เป็นทุนสำรองที่เหลืออยู่จะเสียไปทันที อย่างไรก็ดีถ้านักลงทุนได้กำไร+93จุดนักลงทุนจะได้กำไรถึง93$เช่นกัน ทั้งๆที่มีเงินในบัญชีแค่100$ อย่างไรก็ดีการซื้อขายนั้นไม่จำกัดจำนวนครั้งนักลงทุนสามารถเข้าซื้อขายได้มากครั้งตามที่นักลงทุนต้องการ
การเข้าซื้อในจำนวนที่เยอะกว่า10%ของเงินทุนในบัญชีที่Leverageเยอะๆ จะส่งผลเสียต่อนักลงทุน
เช่น ทุน200$ Leverage 1:2000 เข้าซื้อEURUSDจำนวน1.0Lot=64.61$ ท่านจะเหลือทุนสำรอง135.39$ การเข้าซื้อEURUSDจำนวน1.0Lot ที่ Leverage 1:2000 จะได้กำไรถึงจุดละ10$ แต่หากขาดทุนก็จะขาดทุนจุดละ-10$เช่นกัน ในกรณีนี้ท่านสามารถติดลบได้เพียง-13จุดก่อนที่กราฟจะวกกลับมาบวก ซึ่งแน่นอนติดลบได้เพียง-13จุดไม่เพียงพอต่อการเทรดทำกำไร เพราะติดลบ13จุดก็จะเท่ากับ-135$ซึ่งระบบจะปิดการซื้อขายของท่านโดยอัตโนมัติเมื่อท่านติดลบเกิน13จุดเนื่องจากเงินทุนสำรองของท่านไม่พอ
อย่างไรก็ดีหากนักลงทุนที่ไม่ชอบการตั้งค่าstop loss(การป้องกันการสูญเสียเงินทุนสำรองทั้งหมดที่มีอยูในบัญชีซื้อขาย) ขอแนะนำให้นักลงทุนเลือกLeverageที่1:100 แต่ถ้านักลงทุนเป็นคนที่ชอบการตั้งค่าstop lossเป็นประจำทุกครั้งที่เข้าซื้อขอแนะนำให้นักลงทุนใช้Leverageที1:2000 เพราะการเลือกLeverageที่1:2000นักลงทุนต้องเข้าซื้อในจำนวนที่ไม่ถึง5%ของเงินทุนในบัญชีซื้อขายเพราะฉะนั้นนักลงทุนจะเหลือเงินทุนสำรอง95%ซึ่งหากไม่มีการตั้งค่าstop lossแล้วหากกราฟเกิดการผันผวนอย่างรุณแรงและกระทันหัน เงินทุนสำรอง95%ในบัญชีของท่านนั้นจะหายไปทั้งหมดในพริบตา การเลือกเล่นที่Leverage1:2000จึงมีความจำเป็นมากที่จะต้องตั้งค่าstop lossไว้ทุกครั้ง
แล้วทำไมการเลือกLeverage1:100จึงไม่จำเป็นต้องตั้งstop loss เทคนิคการเข้าซื้อขายที่จำนวน1:100โดยไม่ต้องตั้งค่าstop lossนักลงทุนสามารถทำได้โดยการซื้อในปริมาณที่เยอะเกิน70%ขึ้นไปของเงินในบัญชีซื้อขายที่นักลงทุนมีอยู่(ใช้Marginให้เยอะเข้าไว้)
ซึ่งการใช้Marginเยอะๆที่Leverageเยอะๆจะไม่สามารถทำได้ และเมื่อนักลงทุนสามารถใช้Marginเยอะๆได้นักลงทุนไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งค่าstop lossเลยเพราะหากเกิดการผันผวนเงินที่นักลงทุนจะเสียไปก็คือเงิน30%ในทุนสำรองนั้นเอง ส่วนเงินMarginอีก70%ของนักลงทุนจะถูกระบบนำกลับมาเป็นเงินในบัญชีซื้อขายเพื่อนำเงินมาหมุนต่อ ซึ่งการผันผวนอย่างรุนแรงนักลงทุนจะสูญเสียเงินทุนถึง95%หากเลือกใช้Leverage1:2000
การเปรียบเทียบการทำกำไรที่Leverage1:100และ1:2000ในจำนวณเงินทุนที่200$
สามารถทำกำไรจุดละ1$ได้เหมือนกัน
Leverage1:100 ไม่จำเป็นต้องตั้งค่าstop loss เพราะนักลงทุนเข้าซื้อด้วยเงิน70%ของเงินในบัญชีซื้อขายได้
แต่Leverage1:2000จำเป็นต้องตั้งค่าstop lossเสมอ เพราะนักลงทุนไม่สามารถเข้าซื้อด้วยเงิน70%ของเงินในบัญชีซื้อขายได้ เงินทุนสำรองจะเหลือเยอะและจำเป็นจะต้องตั้งค่าstop lossทุกครั้งที่เข้าซื้อ เพื่อป้องกันการสูญเสียเงินทุนสำรองทั้งหมดหากกราฟเกิดการผันผวนอย่างรุณแรงไปในแดนลบ
Leverage1:100 มีทุนในบัญชีแค่200$ไม่สามารถทำกำไรจุดละ10$ได้
Leverage1:2000สามารถทำกำไรจุดละ10$ได้แต่ในความเป็นจริงเป็นเรื่องที่ยากมากยากถึงขั้นเป็นไปไม่ได้หากนักลงทุนมีทุนไว้ในบัญชีซื้อขายแค่200$แต่ต้องการทำกำไรจุดละ10$เพราะเงินทุนสำรองจะเหลือน้อยจนไม่สามารถถือครองไว้ได้การซื้อจะถูกปิดอย่างรวดเร็วพร้อมกับการขาดทุน(การที่นักลงทุนจะทำกำไรที่จุดละ10$นักลงทุนควรมีทุนในบัญชีซื้อขาย1000$ขึ้นไป
แต่ถ้าหากนักลงทุนมีทุนในบัญชีที่1000$ขึ้นไปการเลือกLeverage1:100ก็จะง่ายต่อการเทรดมากกว่าอยู่ดี เพราะหากนักลงทุนเข้าซื้อด้วยเงิน70%ของเงินในบัญชีซื้อขายนักลงทุนก็ไม่ต้องตั้งค่าstop loss แม้กำไรจะน้อยกว่าLeverage1:2000แต่ด้วยการเล่นที่ง่ายกว่าและความเสี่ยงต่ำกว่าจะช่วยส่งเสริมให้นักลงทุนทำกำไรได้มากกว่า เช่น นักลงทุนเข้าซื้อEURUSDที่Leverage1:100ด้วยเงินจำนวน70%ของเงินในบัญชีซื้อขาย1000$ นักลงทุนจะได้กำไรถึงจุดละ7$แต่ด้วยความเสี่ยงน้อยกว่าLeverageที่1:100จึงเป็นLeverageที่นักลงทุนมืออาชีพเลือกใช้กัน
ซึ่งทั้งนี้และทั้งนั้นการเลือกLeverageและLotขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความชื่นชอบของนักลงทุนเอง
สรุป หากเลือกLeverage1:2000ควรตั้งstop lossไว้ทุกครั้ง ส่วน Leverage1:100ไม่จำเป็นต้องตั้งค่าstop lossหากท่านเข้าซื้อด้วยเงิน75%ของเงินทุนในบัญชีซื้อขายซึ่งการเข้าซื้อด้วยเงิน75%ในLeverage1:2000จะไม่สามารถทำกำไรได้ Leverage1:100เหมาะสำหรับนักลงทุนมืออาชีพ
|
|